ผู้หญิงผิวมันอาจจะรู้สึกว่าตัวเองเป็น "สิว" ง่ายกว่าคนอื่น แต่จริงๆ แล้ว "สิว" สามารถเกิดขึ้นได้กับผิวทุกประเภท และมีสาเหตุที่หลากหลาย ว่าแต่..."สิว" มีกี่ชนิดกันแน่? แล้วแต่ละชนิดมีหน้าตาเป็นแบบไหน? ต้องดูแลรักษาอย่างไร?

1. สิวหัวดำ (Blackheads)

สิวชนิดนี้เรียกว่า สิวอุดตันหัวเปิด หรือ สิวหัวดำ มีลักษณะเป็นตุ่มนูน เม็ดเล็กๆ มีรูเปิดออกจนเห็นหัวสิว และมองเห็นจุดสีดำอยู่บริเวณตรงกลาง ซึ่งจุดสีดำเกิดจากน้ำมัน (Sebum) ทำปฏิกิริยา oxidation กับออกซิเจนในอากาศ เปลี่ยนไขมันเป็นสีดำ

วิธีดูแล : มักจะใช้การทายารักษาสิวสำหรับรักษาสิวอุดตันโดยเฉพาะ และใช้การกดสิวร่วมด้วย


2. สิวหัวขาว (Whiteheads)

สิวอุดตันหัวปิด หรือเรียกกันว่า สิวหัวขาว มีลักษณะเป็นตุ่มนูน สิวยังไม่มีรูเปิด จึงทำให้ดันผิวจนนูนขึ้นมา เมื่อใช้มือลูบจะรู้สึกเหมือนมีไตก้อนเล็กๆ บีบออกยาก เพราะรากสิวลึก สิวประเภทนี้เมื่อปล่อยไว้นานๆ จะขยายขนาดขึ้น และมีโอกาสกลายเป็นสิวอักเสบชนิดต่างๆ ได้สูง

3. สิวเสี้ยน/สิวอุดตัน (Comedone)

สิวเสี้ยน มีลักษณะเป็นเสี้ยนเหมือนกับชื่อ สิวเสี้ยนเป็นความผิดปกติชนิดหน่ึงที่เกิดข้ึนกับรูขุมขน ลักษณะคล้ายกับการเกิดสิวอุดตัน คือ เกิดจากความผิดปกติของผิวหนังบริเวณรูขุมขนที่ทำให้มีการหนาตัวของชั้นขี้ไคล ร่วมกับมีการสะสมของขนอ่อนในรูขุมขนนั้นๆ ซึ่งอาจพบเส้นขนได้มากถึง 5-50 เส้น กระจุกขนอ่อนเหล่าน้ีนี่เองที่ทำให้เกิดลักษณะเป็นเสี้ยนสิวสีขาวๆ 

 

สิวเสี้ยนอาจพบได้ในหลายบริเวณที่มีรูขุมขนขนาดใหญ่ เช่น แผ่นหลัง ต้นแขน ต้นขา บริเวณจมูก คาง ผิวระหว่างคิ้ว และเมื่ออายุเพิ่มข้ึนก็ยิ่งพบได้มากขึ้น

วิธีดูแล : ใช้ยาทาที่ช่วยลดการอุดตัน เช่น ยาทาเบนซิล เพอร์ออกไซด์ หรือยาทาในกลุ่มกรดวิตามินเอ จะช่วยให้สิวเสี้ยนและสิวอุดตันหลุดออกได้ง่ายข้ึน ใช้ร่วมกับการกดสิว ควรพบแพทย์เพื่อเริ่มทายาอย่างถูกต้อง ในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น หากใช้เยอะเกินไปอาจแพ้และระคายเคืองผิวได้

4. สิวอักเสบแดงเป็นก้อน (Nodular Acne)

เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นตุ่มสีแดงขนาดใหญ่ (ขนาดเกิน 0.5 ซม.) อยู่ใต้ผิวหนัง จับดูจะรู้สึกเป็นไตแข็งๆ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ แบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง สิวจะอักเสบนานหลายวัน เมื่อหายอาจเกิดแผลเป็นได้

วิธีดูแล : เมื่อเป็นสิวชนิดนี้ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะไม่สามารถรักษาเองได้ด้วยยาที่ขายตามร้านขายยาทั่วไป


5. สิวชนิดตุ่มนูนแดง (Papule)

สิวอักเสบชนิดถัดมา คือสิวตุ่มแดง เป็นตุ่มแดงเจ็บ ขนาดเล็ก ไม่เกิน 0.5 ซม. ส่วนมากสิวชนิดนี้เป็นสิวอักเสบในระยะแรกที่พัฒนามาจากสิวอุดตัน ขนาดจะเล็กกว่าสิวแบบ Nodular Acne และไม่มีอาการเจ็บเท่าไหร่

วิธีดูแล : ล้างหน้าให้สะอาดแบบอ่อนโยน ไม่ควรใช้สครับขัดผิวหน้า เพราะจะยิ่งเพิ่มอาการระคายเคือง 

6. สิวหัวหนอง (Pustule)

นี่ก็สิวอักเสบเหมือนกัน มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและปวด ข้างบนตุ่มมีหัวหนองสีเหลือง เป็นสิวที่มีอาการอักเสบมากกว่าสิวอักเสบชนิด Papule หรืออาจเกิดจากสิวมีการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นแทรกซ้อน

วิธีดูแล : ล้างหน้าให้สะอาดแบบอ่อนโยน ไม่ควรใช้สครับขัดผิวหน้าเด็ดขาด เพราะจะยิ่งเพิ่มอาการระคายเคือง และควรใช้ยาแต้มสิวร่วมด้วยวันละ 2-3 ครั้ง

 

 

7. สิวหัวช้าง (Acne Conglobata)

 

เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง มักเป็นในวัยรุ่นที่มีผิวหน้ามันมาก บางรายมีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิวหัวช้างด้วย สิวหัวช้างมีลักษณะเป็นสิวอักเสบรุนแรงทุกชนิดขึ้นรวมกันหนาแน่น ได้แก่ สิว pustule, สิว nodule และสิว cyst หัวสิวมักแตก มีหนองเยอะ และมีเลือดไหลเยอะ สิวมักมีจำนวนมากที่ใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง 

วิธีดูแล : รักษาได้ยาก และจะกลายเป็นแผล เป็นก้อนนูนหรือหลุมสิวขนาดใหญ่ ควรพบแพทย์และรักษาโดยแพทย์

 

8.สิวเทียม สิวผด สิวหิน (Acne Aestivale)

สิวผด หรือสิวเทียม บางคนเรียกว่าสิวหิน เป็นเนื้องอกของต่อมเหงื่อ (Syringoma) จะเห็นเป็นตุ่มเล็กๆ จัดว่าเป็นผดที่อยู่บนผิวหน้า พวกนี้เวลาตากแดดร้อนๆ ตุ่มจะชัดเจนขึ้น มีลักษณะเเข็ง เพราะเป็นต่อมเหงื่อที่ไม่มีรูอยู่ใต้ผิวหนัง

ส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณรอบตา เพราะต่อมเหงื่อจะเยอะ เกิดจากเวลาที่เรามีเหงื่อออกแล้วออกไม่หมด จึงทําให้ต่อมเหงื่ออุดตันจึงเกิดสิวผด ลักษณะแข็งๆ เม็ดเล็กๆ นอกจากนี้อาจจะมีอาการใบหน้าเห่อแดงเมื่อเจอแสงแดด หรือบางคนก็มีตุ่มหนองอักเสบร่วมด้วย 

 

วิธีดูแล : อย่าไปตากแดดจัดๆ เป็นเวลานาน แต่ถ้าจำเป็นต้องออกข้างนอก เจอแดดร้อนๆ ก็ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเพื่อลดอุณหภูมิผิวหน้า บางคนเกิดจากแพ้น้ำประปา ก็เลี่ยงมาใช้น้ำดื่มล้างหน้าแทน อย่านอนดึก ลดความเครียด และถ้าเป็นสิวผดแบบไม่อักเสบไม่ต้องพบแพทย์ แต่ถ้าเป็นสิวผดแบบอักเสบควรพบแพทย์เพื่อรักษาต่อไป. 

 

 

 

Visitors: 1,241,364